จากที่ดิฉันได้มีโอกาศไปทัศนศึกษาโครงการภาคสนามภาคเหนือ – ภาคกลาง ระยะเวลา 7 วันการเดินทางไปภาคเหนือครั้งนี้เป็นการเดินทางที่แสนสนุกมากและยังได้รับความรู้ตลอดการเดินทาง และยังได้สัมผัสจากสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เริ่มตั้งแต่วันที่17 มกราคม 2554 เริ่มออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชตั้งแต่ ตี 4 ซึ่งตอนที่เราออกเดินทางก็มีฝนตกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคกับพวกเรา สถานที่แรกที่เราไปถึงนั่นก็คือ พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม เป็นที่มีความสวยงามมาก เราไปถึงตอน 4 โมงเย็น แล้วซึ่งเป็นบรรยากาศที่กำลังสบายมากทำให้พวกเราถ่ายรูปกันสนุกมาก เที่ยวกันจนลืมดูเวลาที่นัดกัน จนทำให้พวกเราต้องเสียค่าปรับที่ขึ้นรถสาย นาทีละ 1 บาท ทำให้ต้องเสียค่าปรับ 10 บาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้เรารักษาเวลามากขึ้นหลังจากเสียค่าปรับไปแล้ว ก็เดินทางไปจังหวัดอยุธยากันเพื่อไปพักกันที่นั้น ระหว่างนั้นก็ทานอาหารเย็นกันที่อยุธยาพวกเราตั้งใจจะทานก๋วยเตี๋ยวอยุธยากันแต่คนเยอะมาก เสียใจมากที่ไม่ได้ทานแต่ก็ไปทานราดหน้ายอดผักแทน ก็อร่อยมากไม่แพ้กับก๋วยเตี๋ยวอยุธยา เมื่อทานอาหารกันเรียบร้อยก็รีบไปรอที่รถกันกลัวจะโดนเสียค่าปรับ แต่ครั้งนี้ก็ไม่โดนปรับเพราะไปถึงรถก่อนเวลา หลังจากนั้นก็เดินทางไปที่พักเมื่อไปถึงที่พักก็มีอาการกลัวเกิดขึ้นเพราะรถบัสได้จอดไว้ปากซอยเข้าที่พักซึ่งทำให้เราต้องเดินเข้าไปซึ่งระยะทางที่เดินไปก็เป็นเส้นทางที่มืดนอกจากมืดแล้วยังมีเสียงหมาเห่าตลอดทาง ไม่ทราบว่าที่เห่านั้นเห่าที่พวกเราเสียงดังหรือเห่าอะไรกันแน่แต่พอไปถึงที่พักก็เป็นที่พักที่นอนสบายมาก ตื่นเช้ามาก็ต้องเดินทางต่อไปที่วัดใหญ่ชัยมงคลซึ่งเป็นที่มีความสำคัญมากแต่วัดที่ประทับมากที่สุด คือวัดหน้าพระเมรุซึ่งเป็นวัดที่มีชัยชนะในสงครามและถือเป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกพม่าทำลาย ต่อมาก็ได้เข้าไปวัดพระในอุโบสถและได้ไปไหว้พระที่อยู่ด้านข้างอุโบสถซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่นั่งห้อยเท้าจากการได้สอบถามพระสงฆ์ที่อยู่ในนั้นพระสงฆ์ก็บอกว่ามีอายุประมาณ 1500 – 1800 ปีมาแล้ว แต่จังหวัดที่ประทับใจมากที่สุด คือจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นจังหวัดอยากไปมาก และก็ได้ไปมาเลย และเมื่อได้ไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ทำให้ทราบได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ เมื่อได้เดินทางมาถึงที่พักที่เชียงใหม่ก็ได้เข้าที่พักซึ่งคืนนี้ถือเป็นคืนที่ตื่นเต้นมาก คือเป็นคืนที่ต้องจัดกระเป๋ากันเพื่อเตรียมตัวไปพักที่บนดอยอินทนนท์ ก็ได้จัดกระเป๋ากันเรียบร้อยก็ได้เข้านอนกันเร็วมาก ตื่นขึ้นมาก็นำกระเป๋าไปเก็บไว้ที่รถและพวกเราก็ได้ไปนั่งรถตู้เพื่อขึ้นไปพระธาตุดอยเทพ แต่เส้นทางที่ได้ขึ้นดอยนั้น เป็นเส้นทางที่ท้าทาย สนุกสนาน และตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาเพราะเป็นเส้นทางที่น่ากลัวมากๆ แต่ก็มีเพื่อนร่วมทางมีการเมารถกันบ้าง แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆของการเดินทาง เมื่อไปถึงก็ได้พบกับสถานที่ที่สวยงามมากเป็นสิ่งที่ประทับใจมาก และสถานที่ที่ประทับใจมากที่สุดคือดอยปุย ดอยปุยเป็นสถานที่ที่ดิฉันไม่เคยไปเลยแต่เส้นทางก็โหดร้ายและน่าท้าทายที่สุด บรรยายกาศสองข้างทางสวยงามและเป็นธรรมชาติมากที่สุดและแล้วก็มาถึงดอยปุยสักที จากที่เราได้ยินและได้ฟังว่าที่แห่งนี้มีผู้เฒ่าที่มีอายุมากที่สุดของหมู่บ้านถึง 107 ปี ขอเล่าเรื่องสักนิดนึงนะคะในสมัยนั้นดอยปุยได้มีการปลูกฝิ่นเป็นจำนวนมาก ยาเสพติดระบายอย่างรวดเร็วในสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีรับสั่งให้ทางการเข้ามาดูแลเรื่องการปลูกฝิ่นของชาวบ้านในภาคเหนือ เพื่อให้ความรู้ทางการเกษตรของชาวบ้านเปลี่ยนจากการปลูกฝิ่นมาเป็นปลูกพืชผักสวนครัวขายแทน ตั้งแต่นั้นมาชาวม้งที่อยู่ดอยปุยก็หันมาเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ทุกอย่าง หันมาทำมาหากินกับแบบพอเพียง ปลูกผักขายบ้าง เย็บรองเท้าขายบ้าง เย็บเสื้อผ้าขายบ้างและที่สำคัญพวกเราก็เจอชาวม้งที่เค้ามีเอกลักษณ์ของชนเผ่าเค้าเอง เริ่มแรกเราเดินขึ้นเนินไปก็จะเจอร้านขายชาและของหมักดองเช่นลูกท้อ ขายกันเยอะแยะไปหมด ร้านเครื่องเงิน พลอย เสื้อผ้าชาวม้ง และมีอยู่ร้านนึงที่ต้องตาเรามากก็คือรองเท้าคะ รองเท้าที่นี่คล้ายรองเท้าของจีนและที่สำคัญเค้าเย็บกับมือ แบบที่นี่ก็เก๋ไม่เบาและมีหลากหลายสีให้เลือกไม่ว่าจะเป็น สีแดง สีม่วง สีเหลือง มีแบบวัยรุ่นๆทั้งร้านเลย แบบผูกก็มี ผูกแบบไหนตามใจชอบของเราได้เลยคะ แถมราคาก็ไม่แพงอีกด้วย เดินไปสักนิดก็จะเจอปืนไม้ ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เค้าเอาไว้ล่าสัตว์ในสมัยก่อนโน้น มีให้ลองกันคะ 3 ดอก 10 บาท แต่จุดไฮไลท์ของหมู่บ้านชาวม้งที่นี่อยู่ที่สวนหย่อมมี่เค้าจัดขึ้นมาเพื่อเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นอยู่ในสมัยก่อนว่าเป็นอย่างไร เช่นตำข้าว นวดแป้ง หรือสิ่งของของชาวม้งที่ใช้กันในสมัยโบราญอุปกรณ์เป็นไม้ซะส่วนใหญ่ และที่บ่งบอกมากที่สุดคือเค้ามีการปลูกฝิ่นให้ดูว่าต้นฝิ่นและดอกฝิ่นเป็นอย่างไร แต่บังเอิญที่เราไปดอกฝิ่นยังไม่บานคะ และก็มีดอกซากุระที่ชาวม้งเค้าเรียกกันดอกเค้าก็จะคล้ายดอกซากุระคะ และอีกอย่างหนึ่งเราลองเช่าชุดม้งคะ ราคาก็อยู่ที่ 30 - 50 บาททุกชุดคะ เค้าก็จะมีเครื่องประดับตกแต่งครบชุดคะ ชุดก็จะมีอยู่หลากหลายมาก แต่เราก็เอาชุดประจำเผ่าที่เค้าใส่กัน ปัจจุบันเค้าจะใส่กันเฉพาะงานสำคัญๆเท่านั้นเช่น งานแต่งงาน วันขึ้นปีใหม่ม้ง ประมาณนี้คะ แต่ในสมัยก่อนเค้าแต่งชุดแบบนี้กันเป็นกิจวัตรคะ ชุดของเค้าจะมีความหนามาก เนื่องด้วยภูมิประเทศที่ชาวม้งอาศัยอยู่มีอากาศหนาวเย็นเครื่องแต่งกายของเค้าก็เลยต้องอบอุ่น เพราะชุดที่เราใส่จะหนามากคะ หากใครได้มีโอกาสไปเที่ยวดอยปุยก็ลองเช่าใส่ดูกัน
ไปดอยอินทนนท์เส้นทางไปดอยอินทนนท์ก็เป็นเส้นทางไม่แพ้จากเมื่อตอนเช้า ตอนนั่งรถไปก็เริ่มสัมผัสกับอากาศหนาวไปบ้าง แต่ตอนกลางคืนทำให้พวกเราได้สัมผัสกับอากาศหนาวที่แท้จริงซึ่งตอนกลางคืนอุณหภูมิแค่ 10 องศา แต่ก็ยังสู้ที่ไปอาบน้ำ พอได้ไปถึงก็รู้เลยว่าเหมือนเอาน้ำจากตู้เย็นมาอาบเลย มีอาการปากสั่น ตัวสั่นแสนทรมานกับการอาบน้ำมาก หลังจากนั่นก็ได้นั่งผิงไฟอยู่ตลอดเพื่อเพิ่มความอุ่นให้กับตัวเอง หลังจากนั้นก็ได้เข้านอนกันเพื่อเตรียมความพร้อมที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นจุดสูงสดแดนสยาม พอไปถึงก็รับอากาศที่หนาวสุดๆ ขณะลงจากรถแล้วต้องรีบขึ้นรถใหม่เพราะมีลมพัดมาและหนาวมากๆและได้ไปดู อุณหภูมีแค่ 4 องศา แบบว่าไม่เคยสัมผัสอากาศหนาวแบบนี้มาก่อน
ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับสภาพปัญหาของพื้นที่ ประเพณี วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของผู้คนแต่ละแห่งว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน และทำให้เรามีโอกาสพบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจากบ้านเรา และอีกอย่างหนึ่งที่ดิฉันประทับใจ คือ การได้รู้จักกับเพื่อน ๆ น้องและอาจารย์ ที่สำคัญทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การแบ่งปันของให้กับเพื่อน ๆ มันเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากที่สุดเลยคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น