วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่ 12

               จากที่ดิฉันได้มีโอกาศไปทัศนศึกษาโครงการภาคสนามภาคเหนือ  ภาคกลาง ระยะเวลา 7 วันการเดินทางไปภาคเหนือครั้งนี้เป็นการเดินทางที่แสนสนุกมากและยังได้รับความรู้ตลอดการเดินทาง  และยังได้สัมผัสจากสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน  เริ่มตั้งแต่วันที่17  มกราคม  2554  เริ่มออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชตั้งแต่ ตี 4 ซึ่งตอนที่เราออกเดินทางก็มีฝนตกเล็กน้อย  แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคกับพวกเรา  สถานที่แรกที่เราไปถึงนั่นก็คือ  พระราชวังสนามจันทร์  .นครปฐม เป็นที่มีความสวยงามมาก   เราไปถึงตอน 4 โมงเย็น  แล้วซึ่งเป็นบรรยากาศที่กำลังสบายมากทำให้พวกเราถ่ายรูปกันสนุกมาก  เที่ยวกันจนลืมดูเวลาที่นัดกัน  จนทำให้พวกเราต้องเสียค่าปรับที่ขึ้นรถสาย  นาทีละ  1  บาท  ทำให้ต้องเสียค่าปรับ  10  บาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี  ที่ทำให้เรารักษาเวลามากขึ้นหลังจากเสียค่าปรับไปแล้ว  ก็เดินทางไปจังหวัดอยุธยากันเพื่อไปพักกันที่นั้น  ระหว่างนั้นก็ทานอาหารเย็นกันที่อยุธยาพวกเราตั้งใจจะทานก๋วยเตี๋ยวอยุธยากันแต่คนเยอะมาก  เสียใจมากที่ไม่ได้ทานแต่ก็ไปทานราดหน้ายอดผักแทน  ก็อร่อยมากไม่แพ้กับก๋วยเตี๋ยวอยุธยา  เมื่อทานอาหารกันเรียบร้อยก็รีบไปรอที่รถกันกลัวจะโดนเสียค่าปรับ  แต่ครั้งนี้ก็ไม่โดนปรับเพราะไปถึงรถก่อนเวลา  หลังจากนั้นก็เดินทางไปที่พักเมื่อไปถึงที่พักก็มีอาการกลัวเกิดขึ้นเพราะรถบัสได้จอดไว้ปากซอยเข้าที่พักซึ่งทำให้เราต้องเดินเข้าไปซึ่งระยะทางที่เดินไปก็เป็นเส้นทางที่มืดนอกจากมืดแล้วยังมีเสียงหมาเห่าตลอดทาง  ไม่ทราบว่าที่เห่านั้นเห่าที่พวกเราเสียงดังหรือเห่าอะไรกันแน่แต่พอไปถึงที่พักก็เป็นที่พักที่นอนสบายมาก  ตื่นเช้ามาก็ต้องเดินทางต่อไปที่วัดใหญ่ชัยมงคลซึ่งเป็นที่มีความสำคัญมากแต่วัดที่ประทับมากที่สุด  คือวัดหน้าพระเมรุซึ่งเป็นวัดที่มีชัยชนะในสงครามและถือเป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกพม่าทำลาย  ต่อมาก็ได้เข้าไปวัดพระในอุโบสถและได้ไปไหว้พระที่อยู่ด้านข้างอุโบสถซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่นั่งห้อยเท้าจากการได้สอบถามพระสงฆ์ที่อยู่ในนั้นพระสงฆ์ก็บอกว่ามีอายุประมาณ  1500 1800  ปีมาแล้ว  แต่จังหวัดที่ประทับใจมากที่สุด  คือจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นจังหวัดอยากไปมาก  และก็ได้ไปมาเลย  และเมื่อได้ไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ทำให้ทราบได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ  เมื่อได้เดินทางมาถึงที่พักที่เชียงใหม่ก็ได้เข้าที่พักซึ่งคืนนี้ถือเป็นคืนที่ตื่นเต้นมาก  คือเป็นคืนที่ต้องจัดกระเป๋ากันเพื่อเตรียมตัวไปพักที่บนดอยอินทนนท์ ก็ได้จัดกระเป๋ากันเรียบร้อยก็ได้เข้านอนกันเร็วมาก  ตื่นขึ้นมาก็นำกระเป๋าไปเก็บไว้ที่รถและพวกเราก็ได้ไปนั่งรถตู้เพื่อขึ้นไปพระธาตุดอยเทพ  แต่เส้นทางที่ได้ขึ้นดอยนั้น  เป็นเส้นทางที่ท้าทาย  สนุกสนาน  และตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาเพราะเป็นเส้นทางที่น่ากลัวมากๆ  แต่ก็มีเพื่อนร่วมทางมีการเมารถกันบ้าง  แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆของการเดินทาง เมื่อไปถึงก็ได้พบกับสถานที่ที่สวยงามมากเป็นสิ่งที่ประทับใจมาก  และสถานที่ที่ประทับใจมากที่สุดคือดอยปุย ดอยปุยเป็นสถานที่ที่ดิฉันไม่เคยไปเลยแต่เส้นทางก็โหดร้ายและน่าท้าทายที่สุด บรรยายกาศสองข้างทางสวยงามและเป็นธรรมชาติมากที่สุดและแล้วก็มาถึงดอยปุยสักที  จากที่เราได้ยินและได้ฟังว่าที่แห่งนี้มีผู้เฒ่าที่มีอายุมากที่สุดของหมู่บ้านถึง 107 ปี  ขอเล่าเรื่องสักนิดนึงนะคะในสมัยนั้นดอยปุยได้มีการปลูกฝิ่นเป็นจำนวนมาก  ยาเสพติดระบายอย่างรวดเร็วในสมัยนั้น  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  จึงมีรับสั่งให้ทางการเข้ามาดูแลเรื่องการปลูกฝิ่นของชาวบ้านในภาคเหนือ  เพื่อให้ความรู้ทางการเกษตรของชาวบ้านเปลี่ยนจากการปลูกฝิ่นมาเป็นปลูกพืชผักสวนครัวขายแทน  ตั้งแต่นั้นมาชาวม้งที่อยู่ดอยปุยก็หันมาเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ทุกอย่าง  หันมาทำมาหากินกับแบบพอเพียง  ปลูกผักขายบ้าง เย็บรองเท้าขายบ้าง เย็บเสื้อผ้าขายบ้างและที่สำคัญพวกเราก็เจอชาวม้งที่เค้ามีเอกลักษณ์ของชนเผ่าเค้าเอง เริ่มแรกเราเดินขึ้นเนินไปก็จะเจอร้านขายชาและของหมักดองเช่นลูกท้อ  ขายกันเยอะแยะไปหมด  ร้านเครื่องเงิน  พลอย  เสื้อผ้าชาวม้ง  และมีอยู่ร้านนึงที่ต้องตาเรามากก็คือรองเท้าคะ  รองเท้าที่นี่คล้ายรองเท้าของจีนและที่สำคัญเค้าเย็บกับมือ  แบบที่นี่ก็เก๋ไม่เบาและมีหลากหลายสีให้เลือกไม่ว่าจะเป็น สีแดง สีม่วง สีเหลือง  มีแบบวัยรุ่นๆทั้งร้านเลย แบบผูกก็มี ผูกแบบไหนตามใจชอบของเราได้เลยคะ แถมราคาก็ไม่แพงอีกด้วย  เดินไปสักนิดก็จะเจอปืนไม้  ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน  ที่เค้าเอาไว้ล่าสัตว์ในสมัยก่อนโน้น  มีให้ลองกันคะ 3 ดอก 10 บาท  แต่จุดไฮไลท์ของหมู่บ้านชาวม้งที่นี่อยู่ที่สวนหย่อมมี่เค้าจัดขึ้นมาเพื่อเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นอยู่ในสมัยก่อนว่าเป็นอย่างไร  เช่นตำข้าว  นวดแป้ง  หรือสิ่งของของชาวม้งที่ใช้กันในสมัยโบราญอุปกรณ์เป็นไม้ซะส่วนใหญ่  และที่บ่งบอกมากที่สุดคือเค้ามีการปลูกฝิ่นให้ดูว่าต้นฝิ่นและดอกฝิ่นเป็นอย่างไร  แต่บังเอิญที่เราไปดอกฝิ่นยังไม่บานคะ  และก็มีดอกซากุระที่ชาวม้งเค้าเรียกกันดอกเค้าก็จะคล้ายดอกซากุระคะ  และอีกอย่างหนึ่งเราลองเช่าชุดม้งคะ  ราคาก็อยู่ที่ 30 - 50 บาททุกชุดคะ  เค้าก็จะมีเครื่องประดับตกแต่งครบชุดคะ   ชุดก็จะมีอยู่หลากหลายมาก  แต่เราก็เอาชุดประจำเผ่าที่เค้าใส่กัน  ปัจจุบันเค้าจะใส่กันเฉพาะงานสำคัญๆเท่านั้นเช่น งานแต่งงาน  วันขึ้นปีใหม่ม้ง  ประมาณนี้คะ  แต่ในสมัยก่อนเค้าแต่งชุดแบบนี้กันเป็นกิจวัตรคะ  ชุดของเค้าจะมีความหนามาก  เนื่องด้วยภูมิประเทศที่ชาวม้งอาศัยอยู่มีอากาศหนาวเย็นเครื่องแต่งกายของเค้าก็เลยต้องอบอุ่น  เพราะชุดที่เราใส่จะหนามากคะ  หากใครได้มีโอกาสไปเที่ยวดอยปุยก็ลองเช่าใส่ดูกัน
          ไปดอยอินทนนท์เส้นทางไปดอยอินทนนท์ก็เป็นเส้นทางไม่แพ้จากเมื่อตอนเช้า  ตอนนั่งรถไปก็เริ่มสัมผัสกับอากาศหนาวไปบ้าง  แต่ตอนกลางคืนทำให้พวกเราได้สัมผัสกับอากาศหนาวที่แท้จริงซึ่งตอนกลางคืนอุณหภูมิแค่ 10  องศา แต่ก็ยังสู้ที่ไปอาบน้ำ พอได้ไปถึงก็รู้เลยว่าเหมือนเอาน้ำจากตู้เย็นมาอาบเลย มีอาการปากสั่น  ตัวสั่นแสนทรมานกับการอาบน้ำมาก หลังจากนั่นก็ได้นั่งผิงไฟอยู่ตลอดเพื่อเพิ่มความอุ่นให้กับตัวเอง  หลังจากนั้นก็ได้เข้านอนกันเพื่อเตรียมความพร้อมที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นจุดสูงสดแดนสยาม  พอไปถึงก็รับอากาศที่หนาวสุดๆ  ขณะลงจากรถแล้วต้องรีบขึ้นรถใหม่เพราะมีลมพัดมาและหนาวมากๆและได้ไปดู อุณหภูมีแค่  4 องศา   แบบว่าไม่เคยสัมผัสอากาศหนาวแบบนี้มาก่อน
ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับสภาพปัญหาของพื้นที่  ประเพณี  วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของผู้คนแต่ละแห่งว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน  และทำให้เรามีโอกาสพบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจากบ้านเรา และอีกอย่างหนึ่งที่ดิฉันประทับใจ คือ การได้รู้จักกับเพื่อน ๆ น้องและอาจารย์  ที่สำคัญทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  การแบ่งปันของให้กับเพื่อน ๆ มันเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากที่สุดเลยคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น